การทำโฆษณาออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จนั้น ส่วนสำคัญคือการนำส่งโฆษณาไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนแพลตฟอร์ม Google Ads ที่มีเครื่องมือในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ
วิธีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการโฆษณาออนไลน์
แพลตฟอร์มโฆษณาแต่ละประเภทมีวิธีกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน:
- Google Search Ads: ใช้ระบบ Keyword Targeting โดยอาศัย Keyword เป็นตัวกำหนดความแม่นยำในการนำส่งโฆษณา
- Social Media Ads: ใช้ระบบ Audience Targeting โดยกำหนดจากข้อมูลส่วนบุคคล เพศ อายุ ความสนใจ ฯลฯ
ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Keyword ใน Google Search Ads
เราควรทำความเข้าใจคำศัพท์สำคัญก่อน:
- Search Term: คำหรือวลีที่ผู้ใช้พิมพ์ค้นหาใน Google
- Keyword: คำที่ผู้ทำโฆษณาตั้งค่าผูกไว้กับโฆษณา
โฆษณาจะปรากฏในหน้าผลการค้นหาเมื่อ Search Term มีความสอดคล้องกับ Keyword ตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งนี่คือหัวใจของ Keyword Targeting
Keyword Match Types คืออะไร?
Keyword Match Types คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณกำหนดความแม่นยำในการจับคู่ระหว่าง Keyword ของคุณกับ Search Term ของผู้ใช้งาน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก:
1. Broad Match (การจับคู่แบบกว้าง)
วิธีการใช้งาน: พิมพ์ Keyword โดยไม่ต้องใส่เครื่องหมายพิเศษใดๆ
ตัวอย่าง: รองเท้าวิ่ง
ลักษณะการจับคู่: กว้างที่สุด โฆษณาจะแสดงเมื่อ Search Term มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword แม้จะไม่ใช่คำเดียวกันก็ตาม
ตัวอย่าง:

ข้อดี: เข้าถึงผู้ชมได้กว้าง เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการให้คนรู้จักมากขึ้น ข้อเสีย: คุณภาพของผู้เข้าชมอาจไม่ตรงเป้าเท่าที่ควร อาจทำให้ CPC สูงขึ้น
2. Phrase Match (การจับคู่แบบวลี)
วิธีการใช้งาน: ใส่เครื่องหมายคำพูด ” ” ครอบ Keyword
ตัวอย่าง: “รองเท้าวิ่ง”
ลักษณะการจับคู่: โฆษณาจะแสดงเมื่อ Search Term มีความหมายเหมือนกับข้อความบางส่วนใน Keyword หรือมีคำที่มีความหมายใกล้เคียงอย่างมาก
ตัวอย่าง:

ข้อดี: สมดุลระหว่างการเข้าถึงและความเฉพาะเจาะจง เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายฐานลูกค้าแต่ยังคำนึงถึงคุณภาพของการเข้าชม ข้อเสีย: อาจพลาดโอกาสจากผู้ใช้ที่ใช้คำที่เกี่ยวข้องแต่ไม่ตรงกับวลี
3. Exact Match (การจับคู่แบบตรงทั้งหมด)
วิธีการใช้งาน: ใส่วงเล็บเหลี่ยม [ ] ครอบ Keyword
ตัวอย่าง: [รองเท้าวิ่ง]
ลักษณะการจับคู่: เข้มงวดที่สุด โฆษณาจะแสดงเมื่อ Search Term มีความหมายเหมือนกับ Keyword หรือเป็นคำเดียวกัน
ตัวอย่าง:

ข้อดี: ได้ผู้ชมที่มีความตั้งใจสูง มีโอกาสแปลงเป็นลูกค้าได้มาก ข้อเสีย: จำนวนผู้เข้าชมอาจน้อย เพราะเงื่อนไขการแสดงโฆษณาเข้มงวด
การเลือกใช้ Match Types ให้เหมาะกับธุรกิจ
การเลือกใช้ Match Type ต่างๆ ควรพิจารณาจากวัตถุประสงค์ทางการตลาดของคุณ:
เหมาะกับ Broad Match
- ธุรกิจใหม่ที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์
- สินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายกว้าง
- ต้องการข้อมูล Search Term ใหม่ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์
เหมาะกับ Phrase Match
- ธุรกิจที่ต้องการสมดุลระหว่างปริมาณและคุณภาพของผู้เข้าชม
- มีงบประมาณจำกัดแต่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพ
เหมาะกับ Exact Match
- ธุรกิจที่ต้องการเน้นการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion)
- สินค้าหรือบริการเฉพาะทาง
- มีการแข่งขันสูงและต้องการเน้นคุณภาพของการคลิกมากกว่าปริมาณ
กลยุทธ์การใช้ Match Types ให้มีประสิทธิภาพ
การผสมผสาน Match Types
ไม่จำเป็นต้องใช้ Match Type เดียวเท่านั้น คุณสามารถใช้หลาย Match Types ร่วมกันได้ เช่น:
- ใช้ Exact Match สำหรับ Keywords หลักที่มีประสิทธิภาพสูง
- ใช้ Phrase Match สำหรับ Keywords ที่มีโอกาสสร้างการแปลงแต่ต้องการความยืดหยุ่น
- ใช้ Broad Match สำหรับการค้นพบ Keywords ใหม่ๆ
การใช้ Negative Keywords
อย่าลืมใช้ Negative Keywords เพื่อกรองผู้ใช้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย เช่น:
- หากขายรองเท้าวิ่งแบรนด์พรีเมียม อาจใส่คำว่า “ถูก”, “ราคาถูก” เป็น Negative Keywords
- หากให้บริการเฉพาะในกรุงเทพฯ อาจใส่ชื่อจังหวัดอื่นๆ เป็น Negative Keywords
สรุป
Keyword Match Types เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณควบคุมว่าโฆษณาของคุณจะแสดงเมื่อมีการค้นหาแบบใด การเลือกใช้ Match Type ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดงบประมาณ และเพิ่มโอกาสในการแปลงเป็นลูกค้า
สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ทดลองใช้ทั้งสามประเภทควบคู่กันไป และวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อปรับแต่งกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด อย่าลืมตรวจสอบ Search Term Report อย่างสม่ำเสมอเพื่อค้นพบโอกาสใหม่ๆ และพัฒนากลยุทธ์ Keyword ของคุณอย่างต่อเนื่อง
เขียนโดย: ยศพนธ์ ปลอดวงศ์ (Yossapon Plodwong)
วันที่เผยแพร่: 31 มีนาคม 2025