การยิงโฆษณาแล้ว “ขายไม่ได้” อาจไม่ใช่เพราะสินค้าคุณไม่ดี แต่เพราะคุณยังไม่ได้วัดผลและเก็บข้อมูลอย่างถูกวิธี Facebook Pixel คือหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้คุณรู้ว่าโฆษณาที่ปล่อยไปนั้นได้ผลแค่ไหน และนำข้อมูลนั้นกลับมาปรับใช้เพื่อเพิ่มยอดขายได้จริง!
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Facebook Pixel แบบเข้าใจง่าย พร้อมแนะนำวิธีติดตั้งและใช้งาน ตั้งแต่เริ่มต้นจนใช้วัดผลได้จริง
Facebook Pixel คืออะไร?
Facebook Pixel คือโค้ดเล็ก ๆ ที่ฝังไว้ในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อช่วยเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เข้ามายังเว็บไซต์ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งกลับไปที่ Facebook เพื่อให้คุณสามารถดูข้อมูล วิเคราะห์ และนำไปใช้ในการทำโฆษณาให้แม่นยำยิ่งขึ้น
ตัวอย่างข้อมูลที่ Facebook Pixel สามารถติดตามได้:
- Page View: มีคนเข้าเว็บไซต์ของคุณทั้งหมดกี่ครั้ง
- Add to Cart: มีคนกดใส่ตะกร้าสินค้ากี่ราย
- Purchase: มีกี่คนที่สั่งซื้อจริง
ข้อมูลเหล่านี้มีค่ามากในการทำ Remarketing และปรับปรุงแคมเปญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม
ทำไมต้องใช้ Facebook Pixel?
1. วัดผลแคมเปญได้อย่างแม่นยำ
Pixel ช่วยให้รู้ว่าโฆษณาที่ปล่อยออกไปนั้นสร้าง Conversion ได้จริงหรือไม่ เช่น มีคนซื้อของ สมัครสมาชิก หรือกรอกแบบฟอร์มตามที่คุณต้องการหรือเปล่า
2. เข้าใจกลุ่มเป้าหมายลึกขึ้น
คุณสามารถดูได้ว่าผู้เข้าชมเป็นใคร มาจากที่ไหน อายุเท่าไหร่ สนใจเรื่องอะไร ซึ่งช่วยให้คุณออกแบบโฆษณาได้ตรงจุด
3. ยิงแอดให้ตรงคนมากขึ้น
Pixel ช่วยให้คุณสร้างกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น
- Custom Audience: คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์
- Lookalike Audience: กลุ่มใหม่ที่มีพฤติกรรมคล้ายลูกค้าเก่า
4. เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญอัตโนมัติ
Facebook ใช้ข้อมูลจาก Pixel ในการช่วยปรับโฆษณาแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เช่น เพิ่ม Conversion หรือเพิ่มการเข้าถึง
วิธีติดตั้ง Facebook Pixel บนเว็บไซต์
การติดตั้ง Pixel ไม่ยากอย่างที่คิด คุณสามารถทำเองได้ง่าย ๆ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: สร้าง Pixel บน Meta Business Suite
- เข้าไปที่ Meta Business Suite
- ไปที่เมนู All Tools → เลือก Events Manager
- คลิก Data Sources → เลือก Add Data Source → เลือก Web
- ตั้งชื่อ Pixel และกรอก URL เว็บไซต์ของคุณ → กด Create Pixel
ขั้นตอนที่ 2: ติดตั้งโค้ดบนเว็บไซต์
- เลือกวิธีติดตั้ง Pixel เช่น ติดตั้งเอง หรือผ่าน CMS อย่าง WordPress, Shopify
- คัดลอกโค้ด Pixel แล้ววางไว้ใน
<head>ของทุกหน้าบนเว็บไซต์- สำหรับ WordPress: ใช้ปลั๊กอิน เช่น “PixelYourSite”
- สำหรับ Shopify: วาง Pixel ID ใน Settings → Facebook
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบการทำงานของ Pixel
- ใช้ Meta Pixel Helper (Chrome Extension) เพื่อตรวจสอบว่า Pixel ทำงานถูกต้องหรือไม่
- ตรวจสอบกิจกรรมได้ที่ Events Manager → Tab “Test Events”
Facebook Pixel มีประโยชน์ต่อการตลาดออนไลน์อย่างไร?
- เพิ่มยอดขาย: ส่งโฆษณาไปยังกลุ่มที่มีแนวโน้มซื้อจริง
- วัดผลได้แม่นยำ: เห็นภาพรวมของพฤติกรรมผู้ใช้งานบนเว็บไซต์
- วิเคราะห์และปรับปรุงแคมเปญ: ใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาโฆษณาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
- ทำ Remarketing ได้มีประสิทธิภาพ: กระตุ้นให้ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์กลับมาซื้อซ้ำ
ตัวอย่างการใช้งาน Facebook Pixel
- Remarketing: ยิงโฆษณาซ้ำไปยังผู้ที่เคยเข้าเว็บไซต์
- Lookalike Audience: ขยายกลุ่มเป้าหมายจากลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายเดิม
- Conversion Tracking: ติดตามว่าการยิงแอดแต่ละครั้งเกิดผลลัพธ์จริงแค่ไหน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Facebook Pixel
Facebook Pixel คืออะไร ต่างจาก Conversions API ไหม?
Pixel คือโค้ดฝังเว็บที่เก็บข้อมูลฝั่งผู้ใช้งาน ส่วน Conversions API เป็นการส่งข้อมูลโดยตรงจาก Server ทั้งสองควรใช้ร่วมกันเพื่อความแม่นยำ
จะเริ่มต้นใช้ Pixel ต้องมีอะไรบ้าง?
คุณต้องมีเว็บไซต์ และบัญชี Meta Business Suite ที่สามารถเข้าถึง Events Manager ได้
สรุป
หากคุณทำโฆษณา Facebook แล้วไม่ได้ใช้ Pixel ถือว่าคุณกำลังพลาดข้อมูลสำคัญไปอย่างมาก เพราะ Pixel คือกุญแจสำคัญในการวิเคราะห์ ปรับปรุง และเพิ่มยอดขายจากโฆษณาอย่างแท้จริง
หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรืออยากให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลการยิงแอดแบบครบวงจร Imperial Health Solution พร้อมช่วยคุณติดตั้ง Pixel และวางแผนยิง Ads แบบมืออาชีพ
เขียนโดย: ยศพนธ์ ปลอดวงศ์ (Yossapon Plodwong)
วันที่เผยแพร่: 23 พฤษภาคม 2025
